Sponsered link
การออกแบบก็เหมือนกับแฟชั่น มีแบบนิยมของแต่ละยุคสมัย ไม่ใช่ว่าอยากจะทำแนวไหนก็ทำได้ ต้องดูด้วยว่าภาพรวมค่านิยมช่วงนั้นเค้านิยมอะไรกัน แบบไหน การออกแบบโลโก้ก็เช่นกัน ควรเลือกให้เหมาะสมกับ DNA ของแบรนด์นั้นด้วย
สำหรับปีนี้มาดูกันว่า โลโก้แบบไหนที่มาแรงเข้ากับยุคสมัยนี้แบบไม่เอาท์ เริ่มจาก
1. Ombré แบบไล่เฉดสี
หลายแบรนด์เคยใช้การไล่เฉดสีแบบ gradient มาก่อนแต่ประสบปัญหาที่ว่า สีเพี้ยน และเฉดสีที่ใช้ ก็มาเกินไปเป็นอุปสรรคในการใช้โลโก้ไปอีกแนวทางใหม่ที่นิยมทำกันคือ การไล่เฉดสีแบบออมเบรอที่ใช้สีไม่กี่สี มีเฉดที่ไล่ระดับกัน โดยเห็นขอบระหว่างสีไม่ได้เนียนกันไปเลยเหมือน gradient แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่สวยงามมากทีเดียว
2. Circle แบบวงกลม
กลับสู่ความเบสิกด้วยรูปทรงกลม แบบที่เขาว่า ” The simpler the geometry the better” สร้างความแตกต่างได้ด้วยพื้นผิว การใช้สีและดีไซน์การใช้วงกลม
3. Half and Half แบบ ครึ่ง-ครึ่ง
เทคนิคนี้ก็ไม่ยาก แค่แบ่งครึ่งวัตถุออกเป็นสองส่วนแล้วใช้โทนสี หรือเฉดสีที่ต่างกัน เท่านั้นเองก็ทำให้โลโก้ดูน่าสนใจขึ้นแล้ว
4. Linked แบบเชื่อมโยง
ให้ความรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันเกี่ยวพันกัน เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารการเชื่อมต่อระหว่าง สิ่งของต่อสิ่งของระบบต่างๆ หรือคนต่อคน
5. Stimming แบบ loop ที่ไม่จบสิ้น
ลองมองโลโก้เหล่านี้ แล้วหาจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดดูสิ ไม่เจอใช่ไหม? แนว Stimming ก็เหมือนลูปที่ไม่มีวันจบสิ้น และยังแสดงถึงการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดแม้แต่ AirBNB ที่ให้บริการด้านที่พัก ก็ยังใช้โลโก้แนวนี้
6. Dog Eared แบบพับมุมกระดาษ
หรือแนวที่เหมือนกับหูเจ้าตูบ Dog-eared ก็เหมือนกับเวลาที่เราอ่านหนังสือแล้วเจอหน้าที่สำคัญๆ เราก็จะพับหัวมุมกระดาษไว้การตัดมุมแบบนี้ ยังช่วยสร้างมิติให้กับสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ อีกด้วย แบรนด์ไหนทำ รับประกันว่าต้องตัดมุมของนามบัตรเพื่อให้เข้ากับโลโก้
7. Corners แบบมุม
เป็นที่นิยมพอๆกับทรงกลม และก็ออกแบบให้หน้าสนใจได้ยากพอๆกันด้วย การออกแบบโลโก้โดยใช้มุมที่เหมือนตัว L บ้างก็คล้ายการโฟกัสของกล้องถ่ายรูป คล้ายกรอบรูปที่มีสิ่งสำคัญอยู้ภายในนั้นแม้แต่มุมแค่มุมเดียว ก็ยังให้ความรู้สึกว่ามีสี่เหลี่ยมอยู่ตรงนั้นได้
8. Line Dash แบบเส้นประ
Sponsered link
บางทีเส้นตรงธรรมดามันก็เรียบเกินไป เส้นประ ช่วยสร้างความรู้สึกได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งโปร่งใสที่ซ่อนอยู่ อากาศ ที่พัดผ่านช่องระหว่างเส้นการเคลื่อนไหว และน้ำหนัก หนัก – เบา
9. Off Shift แบบตัวอักษรกระโดด
ให้ความรู้สึกหลากหลายอย่างทั้งสับสนวุ่นวาย อยู่ไม่นิ่ง ออกนอกกรอบ กระโดดไปมา ลองดู DNA ขงอแบรนด์คุณไห้ดีถ้าใช่ ก็ใช้ได้เลย
10. Curls แบบโค้ง
ให้ความรู้สึกยืดหยุ่น มีความเป็นผู้หญิงนิดๆ แต่ไม่ได้อ่อนหวานจนเกินไป หรือดูอ่อนแอในแบบผู้หญิงมากจนเกินไป ความโค้ง ทำให้ทุกอย่างดูซอร์ฟลง แต่แข็งแรง
11. Pocket Shield แบบโล่ทรงกระเป๋าเสื้อ
โลโก้ ทรงที่เป็นที่นิยมมากอันดับต้นๆ ในสมัยก่อนก็คือรูป โล่ ทั้งดูขลัง ดูเก๋า ดูเก่าแก่ และแข็งแรง อารมณ์แบบเมองเก่าๆ ในประเทศโซนยุโรป แต่โล่เฉยๆ อาจจะน่าเบื่อไปแล้ว ลองนึกถึงกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ฟรือกระเป๋ากางเกงยีนส์ รูปทรงคล้ายกับโล่ แต่ออกแบบนให้ดูสมัยใหม่ และเรียบขึ้นได้ ทั้งยังให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแบบโล่อยู่
12. Slices แบบตัดเป็นแผ่นบาง
เอารูปทรงมาหั่นให้เป็นแผ่นบางเฉียบแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ ก็ได้ความรู้สึกของมิติ และยังเห็น perspective หรือ สัดส่วนของวัตถุ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับมิติของภาพ ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก เช่น 3D Printing การออกแบบดีไซน์ เครื่องสแกนต่างๆ
13. Letter Block แบบตัวอักษรทรงกล่อง
เป็น monogram ที่ถูกบีบอัดให้อยู่ในทรงกล่องสี่เหลี่ยม อย่างที่บอกว่ารูปทรงกลม และเหลี่ยมนั้นเป็นที่นิยมมาก แม้จะดูธรรมดา แต่หากออกแบบให้ดี ก็ดูไม่ธรรมดาเลย ตัวอักษรทรงนี้ ทำให้ดูแข็งแรง มีน้ำหนัก และเป็นสัญษณ์นิยมมากขึ้น
14. Benders แบบวัตถุที่โค้งไปตามกัน
เป็นรูปทรงที่ดูมีการเคลื่อนไหว และล่องลอยหลายครั้ง แบรนด์ก็ไม่ได้ทำโลโก้ที่บ่งบอกชัดเจนถึงสินค้าหรือบริการที่ทำ แต่โลโก้ของแบรนด์ ใช้แทน บุคลิก และลักษณะนิสัยของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี รูปทรงโค้งทำให้ดูมีความยืดหยุ่น เข้าถึงง่าย และเข้าอกเข้าใจ
15. Bars แบบแถบเส้น
การใช้เส้นที่ห่างกันเป็นจังหวะ ทำให้เกิดพื้นที่ว่าง ให้ได้จินตนาการถึงรูปที่สมบูรณ์
by BILL GARDNER
แปลโดย แรคคูนปิ่ณ
Sponsered link
เรียบเรียงโดย F a i F u
Sponsered link